[airbnb] Kyoto : เมืองน่ารัก Autumn in Japan 2015 Past 5



เกียวโต เมืองน่ารัก




เดินทางจาก Osaka มา Kyoto ใกล้และง่ายมาก
เดินทางกลางคืน ถึงกลางคืน เพราะ 1 ชม ก็ถึงที่หมายแล้ว

[airbnb] Osaka : กิน กิน กิน Autumn in Japan 2015 Past 4



ออกจากบ้านที่ Osaka ประมาณ 3 ทุ่ม ในสถานีรถไฟเงียบมากก

  

ต้องนั่งรถไฟ 2 สาย สายนี้ดูปกติ แต่อีกสายนึงเป็นเหมือนรถราง



รถราง น่ารักมากๆ คันเล็กๆ สั้นๆ หน้าตาดูคลาสสิคมากๆด้วย
คือเราเลือกเส้นทางที่ราคาถูกตลอด รถรางคันนี้ก็คือรถไฟธรรมดา ที่ราคาถูก เพราะมันช้า
ช้าในญี่ปุ่น แต่เร็วกว่าไทยเย๊อะ
แต่เราชอบไง เราไม่รีบ เป็นเรื่องดีด้วย ได้นั่งรถไฟรางน่ารักๆแบบนี้

 

ใช้เวลา 20นาที จะถึงสถานีปลายทาง ภายในดูโบราณดี



ผู้โดยสาร ก็ขึ้นรถมาเรื่อยๆนะ อารมณ์แบบ รถแดงบ้านเราอะ เวลาเข้าหมู่บ้านอะไรแบบนั้น

  

มาถึงสถานีปลายทางละ ก็ต้องเดินต่ออีกนิดนึง ตามแผนที่ที่เจ้าของที่พักบอกเอาไว้
ถนนมืดๆและเงียบมาก ก็ถ้าอยู่ที่ไทย คงไม่กล้าเดิน หลอนนิดๆ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยอะไร

  

เดินถึง bus stop แล้ว ชื่อสถานี เหมือนกับในรูปที่ host บอกไว้ในเวบไซต์ กว่าจะหาเจอ
เดินไปเดินมาอยู่ตั้งนาน หาบ้านตอนกลางคืน มันมองไม่ค่อยเห็น มีหลงบ้างไรบ้าง



ถึงบ้าน host ละ กว่าจะหาเจอ คิดในใจ นี่เราหาเจอได้ยังไง!



https://www.airbnb.com/rooms/7427886

เราจองบ้านนี้ไว้ที่เกียวโต เพราะบ้านนี้ใกล้ ป่าไผ่ มากกกก
โฮส ชื่อ Masayuki

 

Masa ชอบศิลปะ มีฝีมือทำงานหนัง และ เค้ามีรอยสักทั้งตัว
จริงๆก็แอบกลัวๆนะ แต่รู้ตัวอีกที จองบ้านไปแล้ว 2 คืน
ก่อนที่เราจะจองบ้านทุกบ้าน เราอ่านรีวิว ของคนที่มาพักก่อนหน้านี้เสมอ
เรามองว่า Masa ถึงจะดูภายนอกน่ากลัว แต่เราคิดว่าเค้าก็คนปกติ
และพอเจอตัวจริง Masa ไม่น่ากลัวเลยยยย แต่น่ารักและเป็นกันเองมาก

  

มุมทำงาน และงานของเค้า นี้มันคืออะไรร นี้มันอารมณ์ล้วนๆ
เหมือนระบายอารมณ์ อะไรซักอย่าง รู้สึกเหมือนกลับไปอยู่หอตอนปี 1

  

ที่นอน และ ชั้นหนังสือ



แต่Masa ก็จัดข้าวมาให้ 1 จานนะ ซึ่งมันคืออะไรก็ไม่รู้  5555
นำ้ใจอะ เค้ากินอะไร เราก็กินได้เหมือนกัน

เข้าญี่ปุ่นมาครั้งนี้ บ้านนี้เป็นบ้านหลังที่ 4
ตั้งแต่บ้านหลังที่ 1 คือฟาร์มข้าว ลักษณะเป็นบ้านผู้สูงอายุนิดๆ อาหารจัดเต็ม
ธรรมเนียมการกินต่างๆ ก็ออกแนวโบราณนิดๆ กว่าจะได้กินแต่ละมื้อ เกือบ 2 ชม
มาบ้านเพื่อนหลังที่ 2 ผู้สูงอายุเหมือนกัน แต่ออกแนวสมัยใหม่ กินง่าย
อยู่ง่าย ไม่มีพิธีอะไรมาก
หลังที่ 3 ที่ โอซาก้า บ้านวัยรุ่น เครื่องครัวมีครบ แต่เล็กๆ กะทัดรัด
มาบ้านนี้หลังที่ 4 สายดาร์กสุดๆละ 55555


  

งานหนัง กระเป๋าสตางค์ที่ Masa ทำเอง สวยมาก งานดี ทำเรียบร้อย
และนี่คือปัญหาของ นักคิด นักออกแบบทั้งโลก
คิดได้ ทำได้ และ งานคือขายได้ แต่....ไม่รู้จะขายยังไง

เราคิดว่าเราเองก็ไม่ได้ขายของเก่งอะไรนะ เราคิดว่ามันขึ้นอยู่กับ วิธีคิด ของแต่ละคน คือสำคัญ
เรามองของๆเรามีค่าแค่ไหน ยึดติดกับอะไรที่ไม่ควรยึดติดหรือเปล่า วิธีคิดต่างๆมีอยู่ในหนังสือ
ดีๆหลายเล่ม แต่สุดท้ายตัวเราเองจะเป็นคนสร้าง และเป็นเจ้าของสิ่งที่เราสร้าง แล้วเราจะรู้
ว่า เราจะขายมันอย่างไร

 

เราคิดว่าจะมาญี่ปุ่นให้สนุกนะ ไม่ต้องเตรียมอะไรที่เป๊ะมากหรอก บางสิ่งบางอย่างก็ปรับเปลี่ยนได้
หรือ มาหาเอาข้างหน้าก็ได้ ทำให้ได้เจออะไรแปลกใหม่ตลอดทาง
ตอนมาถึงโอซาก้า ก็ไม่มีอะไรเลย มาหยิบแผนที่แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่สถานีรถไฟมาเล่มนึง
เรามี internet ใช่มั้ย อะไรๆก็ง่ายไปหมดแหละ
มีเวลาในเกียวโตก็ไม่มาก แค่ 1 วันครึ่ง หลังจากนั้นก็เข้าโตเกียว
เราวางแผนไป ป่าไผ่ (Arashiyama Bamboo forest ) ตอนเช้า
วันทอง คินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) ,วัดนำ้ใส คิโยมิซึ  (Kiyomizu Temple)
และก็ ศาลเจ้าอินาริ (Inari shrine)
และเช้าอีกวัน ขึ้นเหนือไปออนเซ็น (Kurama onsen)
ทั้งหมด ก่อนเข้าโตเกียว



เริ่มจาก ป่าไผ่ เดินเท้าจากบ้าน Masa ใกล้มากกกก 10 นาที



ทางเข้าบ้าน Masa เมื่อคืน มองไม่เห็นเลย เช้ามาก็เลยถ่ายรูปไว้หน่อย

  

ระหว่างเดินไป ป่าไผ่ มาเกียวโตคาดหวังจะได้เห็นต้นไม้เปลี่ยนสีเยอะๆ แต่คนที่นี้บอกว่า
ปีนี้ใบไม้เปลี่ยนสีช้ามาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่สภาพก็โอเคนะ สดชื่น เห็นใบไม้เปลี่ยนสี
บ้าง นิดๆหน่อยๆ



ป่าไผ่ เป็นอย่างนี้ นี่เองงงง คนเยอะมากกกกอีกแล้ว กว่าจะได้แต่ละรูป เหนื่อยเลย









หลังจากเดินจนเมื่อยที่ป่าไผ่ ก็จะไปต่อที่วัดทอง ใน blog (จำชื่อ blog ไม่ได้) บอกว่า
การเดินทางในเกียวโตด้วยรถบัส
เป็นวิธีที่ง่ายและถูกที่สุด ก็หาในเนตตอนนั้นเลย ในเนตบอกว่าให้ ซื้อตั๋วบนรถบัสได้เลย
ก็ขึ้นรถบัสไป แล้วพอตอนลง ก็บอกพนักงานขับรถว่า ขอซื้อ ตั๋ว 1 day pass 1ใบ ราคาบัตร 500 เยน
ใช้ได้ 1 วันเต็ม ในโซนที่กำหนด ซึ่งก็ครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวครบนะ ถือว่าคุ้มมาก

  

  

เมืองเกียวโต ดูเป็นเมืองเล็กๆ ทุกอย่างดูเตี้ยๆ ไม่ค่อยมีตึกสูง รถไม่เยอะ ถนนกว้าง
ลักษณะผังเมืองก็วนๆเป็นสี่เหลี่ยม คือถ้าหลง ก็หลงอยู่ในสี่เหลี่ยมนี่แหละ
แต่ทำไมเราหลงหนักเลยละ 5555

คือในญี่ปุ่นแม้กระทั่งรถบัสก็มาตรงเวลามาก บางทีเรายืนรอแล้วคิดว่ารถไม่มาซักที
เราก็ขึ้นสายอื่นที่สามารถไปได้เหมือนกัน แต่ อาจจะอ้อมไปอีกทางเล็กน้อย แล้ววนกลับมา
ในเส้นทางเดิมกับรถอีกสายนึง คือมันดูง่ายมาก แต่เราก็หลง

ประเด็นคือเราขึ้นมั่วด้วย กะว่าถ้าผิดก็ลง แต่พอลง มันกลับไม่มีรถเมล์สายที่สามารถไปยังสถานที่
ที่เราจะไปผ่านทางนั้น แบบว่าต้องเดินเลี้ยวไปอีกนิดนึง จะมีอีกสายนึงวิ่งผ่าน แล้วคือก็ขี้เกียจเดินอีก
ก็ขึ้นคันอื่นไปอีก ก็วนไปอีก ทีนี้ก็งงไปหมด จากง่ายๆ กลายเป็นหลงไปหมด แต่ก็สนุกดี
กว่าจะถึงแต่ละสถานที่ คือแบบวนรอบเมืองแล้วอะ

 

หน้าตาบัตร 1 day pass พอตอนลงรถ และซื้อตั๋วนี้ เราต้องเอาตั๋วนี้ สอดเข้าไปที่ช่องจ่ายเงิน
ด้วยนะ บัตรมันจะถูกบันทึกวันใช้งาน พอครั้งต่อไปเราขึ้นรถบัสคันอื่น เราก็แค่โชว์หลังบัตร
ที่แสดงวันที่ ให้พนักงานขับรถดู มันง่ายๆแค่นั้นแหละ 500เยน หลงทั้งงงวัน



ถึงวัดทองละ ก็ต้องเดินอีก ลักษณะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี่เหมือนกันทุกที่ คือต้องเดินเข้าไปอีก
บางทีเราก็คิดว่า พอถึงจุดที่เราลงรถแล้ว ก็ถึงแล้ว จริงๆมันไม่ใช่ ต้องทำใจไว้เลยว่า
แต่ละที่เดินอีกเป็นกิโลอย่างตำ่



แต่ก็คุ้มค่านะ สวยมากกกก วัดทอง ยืนอึ้งอยู่พักนึงเหมือนกัน คือสวยมาก สีทองกระทบนำ้
นำ้ก็สะอาด คือแบบดูในรูปก็ปกติ แต่ของจริงนี่แบบ เดินมาเหนื่อยๆ นี่หายเหนื่อยเลย







ไม่รู้เป็นอะไร สนใจแต่หลังคา เรากำลังคิดว่า มันต้องมีอะไรแน่ๆ เกี่ยวกับการทำหลังคาแบบนี้
ทำไมถึงทำออกมาได้แบบนี้ เค้าคิดอะไรอยู่ ดูแล้วมันรู้สึกว่า มีคำถามอะ
แต่ก็เป็นคำถามที่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร แค่รู้สึกว่า น่าสนใจ

  

ก็มีอะไรหลายอย่างให้คนทำในวัดนะ แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย เดินดูอย่างเดียว



หลงทางละ มาอยู่ที่นี้ได้ไง  Kyoto Tower
เราจะไป วัดนำ้ใส ไม่ใช่ ที่นี้ แต่ก็สนุกดี ได้เห็น Kyoto Tower เพิ่ม อีกที่นึง

  

ถึงแล้ว วัดนำ้ใส ได้คนญี่ปุ่นใจดีบนรถบัส บอกทางเดินเข้า เห็นคนเยอะๆ ก็ตามๆเค้าไปป



มหาศาลนักท่องเที่ยว คนเยอะมากๆๆๆ ทุกๆที จริงๆ



มีคนใส่ชุกิโมโน ด้วย น่าจะให้นักท่องเที่ยวเช่าใส่เดินในเมืองเกียวโต
เพราะเกียวโต เป็นเมืองเก่าแก่ ผู้คนก็อยากสัมผัสอะไรๆที่โบราณๆ
ซึ่งก็น่าใส่นะ อากาศเย็น แต่ แดดร้อน และรองเท้าก็ดูจะเดินยากมาก

  

เด็กนักเรียน มาทัศนศึกษาแน่ๆ

  

มองไปข้างล่าง คือที่เค้ากินนำ้กันแน่ๆเลย



love stone มันจะมี 2 ก้อน เค้าบอกว่า หลับตาเดินจากอีกก้อนนึงไปอีกก้อนนึง
ระหว่างเดินให้นึกถึงคนรัก ถ้าเราหยุดและลืมตา เจอหินอีกก้อนนึงอยู่ตรงหน้า
ความรักจะสมหวังกับคนๆนั้น น่าจะเป็นอะไรแบบนั้น มั้ง



มุมฮิต



มุมฮิต มุมฮิต 5555


คือเมื่อยมากอะ เดินเยอะมาก เดินตั้งแต่อยู่เกาหลี นี่ก็ 6 วันละ ยังไม่หยุดเดินเลย

  

  

นักท่องเที่ยวก็มาต่อแถวกินนำ้กัน เราแค่เห็น ก็พอละ คงไม่ต่ออะ แถวยาวมาก
ปกติเราก็ไม่ได้มีความเชื่ออะไรมาก กับความเชื่อต่างๆ แต่ก็ไม่ได้เคยลบหลู่นะ
แต่เราเคารพอย่างสุภาพ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ เอาที่สบายใจจจ^^

ข้างใต้อาคารหลักคือ น้ำตกโอตะวะ ซึ่งเป็นสายน้ำ 3 สายไหลลงสู่บ่อน้ำ ผู้มาเยี่ยมชมวัดมักจะมาดื่มน้ำจากน้ำตกนี้ด้วยถ้วยโลหะ ด้วยความเชื่อว่าสามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ และยังเชื่อกันว่าการดื่มน้ำจากสายน้ำตกทั้ง 3 นี้ มีความหมายถึงสุขภาพ อายุยืนยาว และความสำเร็จในการศึกษา
https://th.wikipedia.org/wiki/วัดคิโยะมิซุ


  

เห็นใบไม้สีแดงแล้วววว ^^



ทางออก เย็นๆเกือบคำ่

  

ได้ซาลาเปามาอันนึง เลือกไม่ถูกไง ชี้มั่วเลยได้อันนี้มาก ใส้อะไรก็ไม่รู้ ไม่อร่อยยย!



มาต่อที่ ศาลเจ้าอินาริ เห็นสถานีรถไฟแล้ว ใช่เลย สีแดงๆแบบนี้



กำลังตื่นเต้นเลย เราเจอทางเข้าแล้ว

  

ก็ต้องเดินเข้าไปอีกตามสภาพ ของกินข้างๆทางก็น่ากิน แต่ใกล้มืดแล้ว ก็เลยต้องเดินผ่านไป



มันใช่อะ มันสวยมาก และ มัน มืด แล้ว

  

มาที่นี้นะ ได้เรียนรู้หลายอย่าง ถ้าจะมา Inari Shrine ให้มาแต่เช้า เพราะถ้ามืด มันก็จะไม่เห็นอะไรเลย
และถ้าแค่เย็นๆคำ่ๆ เริ่มมืด เวลาเราเดินเข้าไปในประตูโทริอิ มันจะยิ่งมืดขึ้นอีก เพราะเราลืมคิดไปว่า
ประตูโทริอิ (Torii) จะวางเรียงๆกัน จนเกือบชิดกัน ทำให้ แสงลอดเข้ามาน้อยมาก
ดังนั้น ควรมาแต่เช้าาา



มืดดด สนิท



ขากลับบ้าน แวะกินราเมงยืนกิน ที่สถานีรถไฟ รสชาติก็ธรรมดานะ แต่อยากลองยืนกินดู
ร้านยืนกิน จะมีคนทำงาน ที่ต้องการความเร่งด่วนมากินเยอะ เพราะเค้าจะรีบมายืนกิน
และรีบไป ยืนกินคือยืนกิน ไม่มีที่นั่ง เราก็เข้าไปลองกิน คือคนข้างๆกินเร็วมากกก
ผ่านไป 2-3 คน เรายังกินไม่หมดเลย กินไม่ทันเค้าจริงๆ มันกินกันเร็วมากกก

 

กลับมาถึงบ้าน เราซื้อเบียร์มา อยู่ญี่ปุ่นกินเบียร์เยอะมากก มากกว่าข้าวด้วยมั้ง
Masa เค้าทำอาหารให้กิน ไก่ทอด กับอะไรไม่รู้ มีหมูสับ หอมใหญ่ ยัดอยู่ในมะเขือเทศ
อร่อยดีนะ อาหารมื้อนี้ ก็คุยนู้นนี้กันไปสังสรรค์

 

เช้าวันใหม่ สำรวจบ้าน Masa อีกครั้ง เพราะวันนี้เราต้องเข้าโตเกียวแล้ววววว ^^

 

Masa ก็อยู่ง่ายๆนะ วันๆอ่านหนังสือ ฟังเพลง เป็นไกด์นำเที่ยว คืองานประจำไม่มี
และช่วงนี้ Masa บอก สนใจเกี่ยวกับ ธรรมชาติ พืชพรรณ รูปทรง อะไรประมาณนั้น
เปิดบ้านพัก airbnb ก็ได้เพื่อนใหม่ตลอด แถมได้เงินด้วย





ก่อนกลับไทย เราส่งของให้ Masa ส่งจาก โตเกียว ไป เกียวโต

 

เขาได้รับ และชอบมันมาก ถ่ายรูปส่งเมล มาให้ คือเห็นรูปแล้ว ลุค รอยสัก หายไปเลยยยย



วันนี้ออกจากบ้าน Masa และเข้าโตเกียว ลงทุนนั่ง ชินคันเซ็น กะได้เห็น ภูเขาไฟ Fuji
แต่เปล่าเลย นั่งรถไฟในเกียวโตหลงทางไปทั่ว

 

เช้านี้อยากไปออนเซ็น ที่ Kurama onsen ก่อนเข้าโตเกียว



นั่งรถไฟ และต่อรถบัสขึ้นมาทางเหนือของเกียวโต ได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีเยอะขึ้น
สวยมาก อากาศดี คนน้อย

  

ป้ายรถเมล์ญี่ปุ่น เริ่มเห็นหมู่บ้านละ



ถึงแล้ว Kurama Onsen

 

เป็นการลงบ่อครั้งที่ 2 บ่อนี้ ต่างชาติเยอะ 1000เยน ร้อนๆ ชิวๆ ^^



  



เรียบร้อย สะอาด สดชื่น อยู่บ้าน Masa ไม่ได้อาบนำ้ เลยมาอาบที่นี้555


เขาไม่ให้ถ่ายรูปด้านใน ก็ยืมรูปเขามา แต่แบบนี้เลย โล่งๆ เปลือยๆ นำ้ร้อนๆ
อากาศเย็นๆ มองใบไม้เปลี่ยนสีไปด้วย สดชื่นม๊ากก

เข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Kurama Onsen ได้ที่นี้
http://th.japantravel.com/kyoto/kurama-onsen-ออนเซนท่ามกลางธรรมชาติ/11805



สวยงาม



ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง เราอยากไปแก้ตัวที่ ศาลเจ้าอินาริ อีกครั้ง แหม แค่เที่ยงเอง มีเวลาอีกเยอะ
เราเดินเท้าไปขึ้นรถไฟ คือระหว่างทาง จะมีทางนำ้ให้เราเดินชมธรรมชาติไปได้
จนถึงสถานีรถไฟ Kurama

 

เราก็เดินไปเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้าน ผ่านลำธาร สดชื่นมากๆ

 

คุณลุงคนนี้มาตักนำ้ในลำธารไปใช้



จุดนี้ เราเดินมายืนตรงกลางสะพานที่คุณลุงตักนำ้ หวาดเสียวมาก แต่ตื่นเต้นดี ^^

 

ในหมู่บ้านจะมีไม้ที่มีหน้าตาแบบในรูปทุกบ้านเลย น่าจะเป็นร้านค้าอะไรซักอย่าง
แล้วไม้ประดิษฐ์นั้น ก็น่าจะเป็นอะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับที่นี้



 

ถึงแล้ว Kurama Station พร้อมกับสัญลักษณ์ของ Kurama น่ากลัวไปนิดนะ 555

 

จาก Kurama เราจะไป Inari shrine อีกครั้ง ตามเส้นทางมันดูง่ายๆมากเลยนะ
แต่....

 

เค้าบอกให้นั่งสาย Eizan Railway จะได้เห็นทางที่มีใบไม้เปลี่ยนสีแบบเป็นอุโมงค์และสวยมาก


แบบนี้ไง ยืมรูปเขามาอีกเหมือนกัน รูปนี้ดึงดูดใจมาก
http://planetkyoto.com/blog/2009/11/17/eizan-railway-momiji-tunnel-nov-13-29/


สวยๆๆๆ
http://regex.info/blog/2008-11-19/1004



แต่เรานั่งรถไฟตอนกลางวัน และพอนั่งมาแล้ว ไม่รู้ทางนั้นอยู่ช่วงไหน
ที่เป็นใบไม้สีเหลืองหมดเลย แต่เหมือนจะรู้สึกว่าผ่านมาช่วงนึง ที่เหลืองมากเป็นอุโมงค์
ถ่ายรูปไม่ทัน แต่แค่นี้ก็คุ้มสุดๆแล้ว


 

ระหว่างทาง มีคนมานั่งวาดรูปกันเยอะมาก ดูชิวกันดีนะ ^^

 

หลงไปหลงมา และแล้วเราก็มาถึง Inari shrine เย็นจนได้ แต่ยังดี ที่ได้เห็น ประตูโทริอิ สีจริงๆ
คือสิ่งที่คิดและเห็นมาตลอด เกี่ยวกับ Inari shrine คือ ประตูโทริอิ สีแดงล้วน สีส้มล้วน


แบบนี้
http://www.neverendingvoyage.com/photo-of-the-week-fushimi-inari-shrine-kyoto/


แบบนี้ๆ
http://www.japanvisitor.com/japan-temples-shrines/fushimi-inari


แบบนี้ๆๆๆ
http://www.berlinlabs.de/index.php?showimage=173


แบบนี้ๆๆๆๆ
http://sgcircle.com/node/592301


 
แบบนี้...
พอเดินเข้ามา ไม่ผิดคาด ข้างนอกยังคงสว่างอยู่ แต่แดดเริ่มหมดแล้ว
ทำให้ไม่มีแสงลอดเข้ามาข้างในทางเดิน



มันเป็นอย่างนี้ นี่เองงงง



ภาพประทับใจ มา Inari shrine 2 ครั้ง มาถึงเย็นแล้ว ทั้ง 2 ครั้ง!

จากที่ขึ้นรถไฟในเกียวโตนะ เรารู้สึกว่าน่าจะง่ายๆ อยู่โตเกียวได้ เกียวโตก็ไม่น่ายาก
แต่ปรากฎว่าหลงทางหนักกว่าที่โตเกียวอีก

คือเวลาเราขึ้นรถไฟแล้วคิดว่าหลงทางแน่ละ
เราก็ลองตั้งหลักสถานีจุดเริ่มต้นใหม่คือสถานีที่เรากำลังยืนอยู่ และไปสุดที่สถานีปลายทาง
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีปลายทาง แต่ปรากฎว่าพอถึงทางออก แต่ออกไม่ได้
คือถ้าจะออกทางออกนั้น เราต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะว่า มันแสดงถึงว่าเรามาผิดไลน์ของรถไฟ

เราก็เลยต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ โดยการนั่งรถไฟกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่
ทำให้รู้ว่า เส้นทางรถไฟซับซ้อนมาก บางครั้งเส้นทางเปลี่ยน ไลน์เปลี่ยน แต่เราต้องอยู่
ในรถไฟคันเดิม หรือบางครั้ง ต้องลงแล้วต่อรถไฟคันถัดไป ตามเวลา
หรือบางครั้ง มีรถไฟแบบด่วน แบบlocal เวลาแตกต่าง ความเร็วแตกต่าง คือเยอะมาก
แต่หลงไปหลงมาก็สนุกดี ^^



Shinkansen....^^
จบเรื่องราวในเกียวโต เราจะไปโตเกียวกันแล้ว มีงานรออยู่เพียบเลย
ได้เวลาเข้าเมืองใหญ่แล้ว ลงทุนเลยนะ 14000 เยน ประมาณ 4000บาท
กะได้เห็น ภูเขาไฟ Fuji แต่เปล่าเลย นั่งรถไฟในเกียวโตหลงทางไปทั่ว
แต่หลงทางจนมืด ความหวังที่จะได้เห็น ภูเขาไฟ fuji จึงหมดไป



2 ชม

 

มัน เร็ว มากกกกก

 

คือตอนเดินอยู่ เหนื่อยก็จริง แต่ก็รู้สึกปกติ แต่พอหยุดเดินนะ มันรู้สึกเหนื่อยมากเลย
ซื้อขนม Yatsuhashi ไปฝากคะสึ เป็นขนมยอดนิยมอันดับ 1 จากเกียวโต
แต่เบลต้าจะกินละนะ หิวมากกก อร่อยมากด้วย

10 อันดับของฝากยอดนิยมจากเกียวโต
http://www.marumura.com/top_japan/?id=2087



ถึงละ Tokyo Station รวดเร็วทันใจจริงๆ ^^

[airbnb] Tokyo-Prepare for TDW 2015 : Autumn in Japan Past 6


Writer : Bellta ^^
https://www.facebook.com/pennapa.shotlersuk

BelltaStudio
http://www.belltastudio.com

Instragram: @belltatravel

This is My house + My studio + My airbnb
https://airbnb.com/rooms/10696313

Register airbnb 

Thanks!

Labels: , , , ,